เต่าบกมือใหม่: วิธีเลี้ยงง่ายๆ ฉบับเริ่มต้น

บทความสำหรับมือใหม่เลี้ยงเต่าบก

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำที่ครอบคลุมสำหรับผู้ที่สนใจเลี้ยงเต่าบก ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงเรื่องพื้นฐานของการเลี้ยงเต่าบก ตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์เต่าบกที่เหมาะสม การจัดเตรียมที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม การจัดการอาหารและโภชนาการ ไปจนถึงการจัดการสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมของเต่าบก บทความนี้จะช่วยให้มือใหม่เลี้ยงเต่าบกมีความรู้และความมั่นใจในการเริ่มต้นการเดินทางของการเลี้ยงเต่าบก

**การเลือกสายพันธุ์เต่าบกที่เหมาะสม**

ก่อนที่จะเริ่มต้นการเลี้ยงเต่าบก สิ่งสำคัญคือต้องเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และทรัพยากรของคุณ สายพันธุ์เต่าบกต่างๆ มีความต้องการที่แตกต่างกันในด้านขนาด ที่อยู่อาศัย สภาพอากาศ และอาหาร
*เต่าซูคาต้า* เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีขนาดค่อนข้างใหญ่และเลี้ยงง่าย อย่างไรก็ตาม เต่าซูคาต้าต้องการพื้นที่กว้างขวางและสภาพอากาศที่อบอุ่น
*เต่าดาวอินเดีย* เป็นสายพันธุ์ที่สวยงามและมีขนาดเล็กกว่าเต่าซูคาต้า แต่มีความต้องการที่อยู่อาศัยและอาหารที่เฉพาะเจาะจงกว่า
*เต่าเฮอร์มาน* เป็นอีกสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีขนาดเล็กและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ดี

**การจัดเตรียมที่อยู่อาศัย**

เต่าบกต้องการที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและเหมาะสมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ที่อยู่อาศัยควรมีพื้นที่เพียงพอให้เต่าบกเดินเล่น สำรวจ และพักผ่อน นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัยควรมีพื้นที่สำหรับหลบซ่อนเพื่อช่วยให้เต่าบกคลายความเครียด
*ที่อยู่อาศัยในร่ม* สามารถทำได้โดยใช้ตู้ปลาขนาดใหญ่ อ่างอาบน้ำ หรือพื้นที่ที่กำหนดไว้ในบ้านของคุณ ที่อยู่อาศัยในร่มควรมีพื้นผิวที่เหมาะสม เช่น ดิน ทราย หรือพีทมอส นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัยในร่มควรมีแหล่งความร้อนและแสงสว่างที่เหมาะสม เช่น หลอดไฟ UVB และหลอดไฟความร้อน
*ที่อยู่อาศัยกลางแจ้ง* เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเต่าบกที่อาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่อบอุ่น ที่อยู่อาศัยกลางแจ้งควรมีรั้วที่แข็งแรงเพื่อป้องกันเต่าบกจากการหลบหนีและผู้ล่า นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัยกลางแจ้งควรมีพื้นที่ร่มเงาและแหล่งน้ำ

**อาหารและโภชนาการ**

อาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเต่าบก เต่าบกส่วนใหญ่เป็นสัตว์กินพืช ดังนั้นอาหารของพวกเขาควรประกอบด้วยผักใบเขียว ผลไม้ และผักต่างๆ
*ผักใบเขียว* ที่ดีสำหรับเต่าบก ได้แก่ ผักกาดแก้ว ผักกาดโรเมน ผักคะน้า และผักกาดเขียว
*ผลไม้* ที่ดีสำหรับเต่าบก ได้แก่ แอปเปิ้ล กล้วย แตงโม และสตรอเบอร์รี่
*ผัก* ที่ดีสำหรับเต่าบก ได้แก่ แครอท ฟักทอง บวบ และมันเทศ
นอกจากนี้ เต่าบกยังต้องการแคลเซียมเสริมเพื่อช่วยให้กระดูกและเปลือกแข็งแรง สามารถให้แคลเซียมเสริมในรูปแบบของผงแคลเซียมที่โรยบนอาหาร หรือในรูปแบบของกระดูกปลาหมึก

**การดูแลสุขภาพ**

การดูแลสุขภาพเต่าบกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตเต่าบกของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อหาสัญญาณของโรคหรือการบาดเจ็บ
*สัญญาณของโรค* ในเต่าบก ได้แก่ ซึม เบื่ออาหาร น้ำมูกไหล หายใจลำบาก หรือมีบาดแผล
*การป้องกัน* เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพเต่าบก การรักษาสภาพแวดล้อมที่สะอาดและถูกสุขลักษณะ การให้อาหารที่เหมาะสม และการจัดหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและเหมาะสมสามารถช่วยป้องกันโรคและการบาดเจ็บได้

**บทสรุป**

การเลี้ยงเต่าบกเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่รักสัตว์เลื้อยคลาน ด้วยการให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง คุณสามารถมอบชีวิตที่มีความสุขและมีสุขภาพดีให้กับเต่าบกของคุณได้ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกสายพันธุ์เต่าบกที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และทรัพยากรของคุณ จัดเตรียมที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ให้อาหารที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพของเต่าบกของคุณอย่างสม่ำเสมอ การเลี้ยงเต่าบกต้องใช้ความอดทน ความทุ่มเท และความเอาใจใส่ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง

ราคางูข้าวโพด: อัปเดตล่าสุด, ซื้อที่ไหนดี

“`html

งูข้าวโพดเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีสีสันสวยงาม เลี้ยงง่าย และเชื่อง ในบทความนี้ เราจะสำรวจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อราคางูข้าวโพด ตั้งแต่ประเภทและมอร์ฟไปจนถึงขนาด อายุ และผู้เพาะพันธุ์ นอกจากนี้ เราจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการค้นหางูข้าวโพดในราคาที่เหมาะสม รวมถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่คุณสามารถซื้องูเหล่านี้ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เลี้ยงงูมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์ บทความนี้จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับราคางูข้าวโพดและวิธีตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเมื่อซื้อสัตว์เลื้อยคลานที่น่าทึ่งเหล่านี้

ปัจจัยที่มีผลต่อราคางูข้าวโพด

ราคางูข้าวโพดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ปัจจัยเหล่านี้รวมถึงประเภท มอร์ฟ ขนาด อายุ และผู้เพาะพันธุ์ งูข้าวโพดบางชนิด เช่น งูที่มีสีหรือลวดลายหายาก มีราคาสูงกว่างูที่พบได้ทั่วไป ขนาดและอายุของงูยังสามารถส่งผลต่อราคาได้ โดยงูที่มีขนาดใหญ่กว่าและโตเต็มวัยอาจมีราคาสูงกว่าลูกงู นอกจากนี้ ผู้เพาะพันธุ์ที่มีชื่อเสียงอาจเรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากพันธุกรรม คุณภาพ และการดูแลที่งูได้รับ

ประเภทและมอร์ฟของงูข้าวโพด

งูข้าวโพดมีหลากหลายประเภทและมอร์ฟ แต่ละแบบมีสี ลวดลาย และลักษณะเฉพาะของตัวเอง มอร์ฟที่พบบ่อยบางชนิด ได้แก่ คลาสสิก อเมลาโน อีริธริสติก ลาวา บัตเตอร์ และสโนว์ มอร์ฟที่หายากและเป็นที่ต้องการ เช่น มอร์ฟที่มีสีสันหรือลวดลายซับซ้อน มักมีราคาสูงกว่า มอร์ฟที่ได้รับความนิยมบางชนิด ได้แก่ งูข้าวโพดพาโลเมตโต งูข้าวโพดคาลาไมน์ และงูข้าวโพดซันคิส ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความสวยงามของมอร์ฟเหล่านี้มีส่วนทำให้ราคาที่สูงขึ้น

ขนาดและอายุของงูข้าวโพด

ขนาดและอายุของงูข้าวโพดมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคา ลูกงูซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่าและอายุน้อยกว่า อาจมีราคาไม่แพงนักเมื่อเทียบกับงูโตเต็มวัย งูโตเต็มวัยต้องใช้เวลาและความพยายามในการเลี้ยงดูนานกว่า ซึ่งอาจทำให้ราคาแพงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ลูกงูอาจต้องได้รับการดูแลและเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทำให้ผู้เลี้ยงบางรายชอบซื้องูที่มีอายุมากกว่า นอกจากนี้ งูที่มีขนาดใหญ่กว่ายังอาจเป็นที่ต้องการมากกว่าเนื่องจากขนาดที่โดดเด่นและรูปลักษณ์ที่สะดุดตา

ค้นหางูข้าวโพดในราคาที่เหมาะสม

การค้นหางูข้าวโพดในราคาที่เหมาะสมต้องมีการค้นคว้าและการพิจารณาอย่างรอบคอบ เริ่มต้นด้วยการค้นคว้าผู้เพาะพันธุ์ ร้านขายสัตว์เลี้ยง และตลาดออนไลน์ที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ของคุณ เปรียบเทียบราคา คุณภาพ และชื่อเสียงของผู้ขายที่แตกต่างกัน พิจารณาเข้าร่วมชมรมสัตว์เลื้อยคลานท้องถิ่นหรือเข้าร่วมฟอรัมออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ที่ชื่นชอบและผู้เพาะพันธุ์รายอื่น พวกเขาอาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าและช่วยคุณค้นหาข้อตกลงที่ดีที่สุด อย่าลังเลที่จะเจรจาต่อรองราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังซื้องูหลายตัวหรือถ้าคุณเห็นข้อบกพร่องใดๆ

บทสรุป

โดยสรุป ราคางูข้าวโพดได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงประเภท มอร์ฟ ขนาด อายุ และผู้เพาะพันธุ์ มอร์ฟที่หายากและเป็นที่ต้องการมักมีราคาสูงกว่า ในขณะที่ขนาดและอายุยังส่งผลต่อราคาด้วย การค้นคว้าข้อมูลและเปรียบเทียบราคากับผู้ขายที่แตกต่างกันถือเป็นสิ่งสำคัญในการค้นหางูข้าวโพดในราคาที่เหมาะสม การเข้าร่วมชมรมสัตว์เลื้อยคลานท้องถิ่นหรือฟอรัมออนไลน์สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าและช่วยคุณค้นหาข้อตกลงที่ดีที่สุด โปรดจำไว้ว่า ราคาไม่ควรเป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจของคุณ พิจารณาเรื่องสุขภาพ อารมณ์ และที่มาของงูเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับสัตว์เลี้ยงที่มีความสุขและมีสุขภาพดี ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบและการวิจัย คุณสามารถค้นหางูข้าวโพดที่สมบูรณ์แบบที่เหมาะกับงบประมาณและความชอบของคุณ

“`

แพะแคระมินิปิ๊กมี่ สัตว์เลี้ยงน่ารัก ที่ชาวเน็ตตกหลุมรักทั้งโซเชียล

       ส่องความน่ารัก แพะแคระมินิปิ๊กมี่ สัตว์เลี้ยงที่ใคร ๆ พากันอยากเลี้ยงกันทั้งโซเชียล มีความน่ารักตะมุตะมิไปอีก

           เฟซบุ๊ก Titarii Worapitianan ได้เผยภาพถ่าย แพะแคระมินิปิ๊กมี่ ซึ่งเป็นแพะสายพันธุ์จิ๋วสูงแค่ 60 เซนติเมตร โตเต็มที่ไม่เกินเข่า ตัวผู้มีเคราดกยาวและมีขนนุ่มสลวยปกคลุมตามลำตัวเหมือนผ้าคลุมไหล่ เช่นเดียวกับตัวเมีย ตัวเล็ก น่ารัก ขี้อ้อน ฉลาด แสนซน ทำให้หลาย ๆ คน มีความสนใจที่จะเลี้ยงเจ้าแพะน้อยมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะน้องน่ารักปุ้กปิ้กมากก

แพะแคระมินิปิ๊กมี่

แพะแคระมินิปิ๊กมี่

แพะแคระมินิปิ๊กมี่

แพะแคระมินิปิ๊กมี่

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Titarii Worapitianan

Herbee เซเลบเม่นจิ๋วสุดน่ารัก ท่องโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน

ชมภาพน่ารัก ๆ เจ้า Herbee เม่นแคระนักผจญภัย เซเลบตัวจิ๋วบนโลกออนไลน์ ของ Talitha Girnus สาวชาวเยอรมัน (เจ้าของ) ที่มีแฟน ๆ ทั่วโลกเข้ามาติดตามเรื่องราวชีวิตของมันบน Instagram แล้ว 1.9 ล้านคน ซึ่งภาพส่วนใหญ่เรามักเห็นมันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่สวยงามเป็นประจำ จนทำหลายคนอดอิจฉาชีวิตของมันไม่ได้เลยจริง ๆ 

Herbee

Herbee

Herbee

Herbee

ภาพจาก Instsgram @mr.pokee

คาปิบาร่า หนูยักษ์แสนน่ารักที่มีหน้าตาสุดฮา

          มารู้จัก คาปิบาร่า หนูยักษ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีหน้าตาน่ารักและกวน ๆ ชวนให้มนุษย์รู้สึกเอ็นดูเมื่อได้เห็น

คาปิบาร่า

          คาปิบาร่า (Capybara) เป็นหนูยักษ์และสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พวกมันเป็นสัตว์สังคมที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ โดยธรรมชาติแล้วอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ในป่าหนาทึบและใกล้กับแหล่งน้ำ พวกมันว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง ชื่นชอบน้ำมาก ๆ จึงมักจะใช้เวลาทั้งวันในการแช่อยู่ในน้ำ (นอนในน้ำได้ด้วย) จะขึ้นจากน้ำเฉพาะเวลาออกหากินเท่านั้น

คาปิบาร่า

          คาปิบาร่าเป็นสัตว์กินพืช พวกมันกินได้ตั้งแต่หญ้า ไม้น้ำ ผลไม้ ไปจนถึงเปลือกไม้ สิ่งที่กินจะแตกต่างไปตามฤดูกาล

          คาปิบาร่าเติบโตเต็มวัยเมื่ออายุราว 1 ปีครึ่ง และมันมีอายุขัยประมาณ 8-10 ปี หากเป็นสัตว์เลี้ยงหรืออยู่ในสวนสัตว์ แต่จะมีอายุขัยเฉลี่ยเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้นในธรรมชาติ เพราะมักจะถูกล่าโดยสัตว์นักล่าอย่างเสือ เหยี่ยว อนาคอนด้า หรือจระเข้

คาปิบาร่า

คาปิบาร่า

คาปิบาร่า

ทำความรู้จัก เสือโคร่ง นักล่ารักสันโดษ สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ที่ควรอนุรักษ์ไว้

ทำความรู้จัก เสือโคร่ง สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ที่ควรอนุรักษ์ไว้ พร้อมข้อมูลน่ารู้ต่าง ๆ ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย ลักษณะ นิสัย สายพันธุ์ต่าง ๆ รวมไปถึงวันสำคัญอย่างวันอนุรักษ์เสือโคร่งโลกด้วย

เสือโคร่ง

หากพูดถึง เสือโคร่ง อาจจะฟังดูน่ากลัว จากลักษณะที่ดูน่าเกรงขาม และข่าวคราวต่าง ๆ เช่น มีคนโดนเสือโคร่งทำร้าย มาให้เห็นกันอยู่เนือง ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปรู้จักกับสัตว์ป่าชนิดนี้ให้มากขึ้นว่าจริง ๆ แล้วเสือโคร่งเป็นสัตว์อันตรายอย่างที่หลายคนคิดหรือไม่ ตั้งแต่ถิ่นที่อยู่อาศัย สายพันธุ์ ลักษณะ ไปจนถึงนิสัย และเพราะเหตุใดจึงควรช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้เอาไว้

ที่อยู่และลักษณะของเสือโคร่ง

เสือโคร่ง

เสือโคร่ง เป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และจัดเป็นประเภทเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Panthera Tigris พบได้ในป่าของทวีปเอเชียและทางตะวันออกของประเทศรัสเซีย รวมถึงประเทศไทยที่พบมากในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อุทยานแห่งชาติปางสีดา และอุทยานแห่งชาติทับลาน 

เสือโคร่งมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากเสือประเภทอื่น ๆ คือ ขนบนลำตัวสีแดง-ส้มไปจนเหลืองปนน้ำตาล ใต้ท้องมีขนสีขาว มีลาดพาดสีดำและเทาเข้มตลอดทั้งตัว หรือที่เรียกว่า "ลายพาดกลอน" หากมองเผิน ๆ ลวดลายของเสือโคร่งอาจจะดูเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วลายของเสือโคร่งแต่ละตัวมีความแตกต่างกันไป

ส่วนขนาดลำตัวของเสือโคร่งแต่ละตัวขึ้นอยู่กับเพศและสายพันธุ์ ความยาวรวมหางโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 140-300 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 300 กิโลกรัม ส่วนใหญ่เสือโคร่งตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย อายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 ปี 

นิสัยของเสือโคร่ง

เสือโคร่ง

เสือโคร่ง มีนิสัยรักสันโดษ ชอบอยู่ตามลำพัง แต่บางครั้งอาจจะมีการรวมกลุ่มบ้างในเวลาที่ต้องการล่าเหยื่อขนาดใหญ่ หรือเป็นแม่เสือที่กำลังเลี้ยงดูลูก นอกจากนี้เสือโคร่งยังมีการสร้างอาณาเขตของตัวเองเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ โดยการปล่อยปัสสาวะไว้ตามที่ต่าง ๆ กินพื้นที่ประมาณ 10-70 กิโลเมตร 

อาหารของเสือโคร่ง

เสือโคร่งเป็นสัตว์กินเนื้อและมักจะกินสัตว์ขนาดใหญ่เป็นหลัก เช่น กวาง หมูป่า หมี แต่ก็มีเสือบางพื้นที่อาจจะมีการล่าสัตว์เล็กหรือสัตว์เลื้อยคลานอย่างนก ปลา จระเข้ เป็นอาหารด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่จะออกล่าเหยื่อช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน โดยอาศัยการพรางตัวและซุ่มโจมตีเหยื่อจากด้านข้างหรือด้านหลังอย่างรวดเร็ว ด้วยการกัดที่คอหอยหรือคอด้านหลัง ซึ่งแรงกัดของเสือโคร่งสามารถทำให้กระดูกคอแตกจนเสียชีวิตได้เลยทีเดียว 

สายพันธุ์เสือโคร่ง

เสือโคร่ง

สายพันธุ์ของเสือโคร่งที่พบทั่วโลกมีทั้งหมด 9 สายพันธุ์ด้วยกัน แบ่งตามถิ่นที่อยู่อาศัย แต่สูญพันธุ์ไปแล้ว 3 สายพันธุ์ คือ เสือโคร่งบาหลี เสือโคร่งชวา และเสือโคร่งแคสเปียน ส่วนสายพันธุ์เสือโคร่งที่ยังหลงเหลืออยู่ ได้แก่ เสือโคร่งสายพันธุ์สุมาตรา สายพันธุ์ไซบีเรีย สายพันธุ์จีนใต้ สายพันธุ์มลายู สายพันธุ์อินโดจีน และสายพันธุ์เบงกอล แต่ในปัจจุบันก็มีจำนวนน้อยลงมากเพราะตกเป็นเหยื่อจากการล่าและโดนคุกคามที่อยู่อาศัย ดังนั้นในหลายประเทศจึงมีการห้ามไม่ให้มีการล่าเสือโคร่งเกิดขึ้น รวมถึงในประเทศไทย

อ่านเพิ่มเติม : เปิดทำเนียบ เสือ 5 ชนิดเสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกขึ้นบัญชีเป็น "สัตว์ป่าคุ้มครอง"

วันอนุรักษ์เสือโคร่งโลก

วันอนุรักษ์เสือโคร่งโลก

หลังจากการประชุมเสือโคร่งโลก (Tiger Summit) ในปี 2553 จาก 13 ประเทศสำคัญที่มีเสือโคร่งกระจายตัวและอาศัยอยู่ ได้กำหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันอนุรักษ์เสือโคร่งโลก (International Tiger Day) เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญของเสือโคร่ง ช่วยกันปกป้องอนุรักษ์สัตว์ป่าชนิดนี้เอาไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าไปพร้อมกัน 

อ่านเพิ่มเติม : 29 กรกฎาคม วันอนุรักษ์เสือโคร่งโลก รักษ์เสือไว้ ไม่ให้สูญพันธุ์

แม้เสือโคร่งจะเป็นสัตว์ที่ดูโหดร้าย น่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นสัตว์ป่ารักสันโดษและส่วนใหญ่จะโจมตีเพื่อล่าเหยื่อและป้องกันอาณาเขต อีกทั้งในปัจจุบันก็มีจำนวนเหลือน้อยจนใกล้จะสูญพันธุ์ คงจะดีกว่าหากทุกคนช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อผืนป่าที่สมบูรณ์และป้องกันไม่ให้ระบบนิเวศถูกทำลายไป 

ขอบคุณข้อมูลจาก seub.or.th, verdantplanet.org, wwf.or.th และ dnp.go.th 

รู้จัก นกชนหิน สัตว์ป่าสงวนหายากในไทย ที่ควรอนุรักษ์ไว้

ทำความรู้จัก นกชนหิน สัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 สัตว์ป่าหายากในไทยเสี่ยงสูญพันธุ์ ที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ พร้อมข้อมูลน่ารู้และเหตุผลที่ควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้

นกชนหิน

เปิดข้อมูล “นกชนหิน” สัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่งจากการโดนล่า มาช่วยกันต่อลมหายใจความสวยงามให้กับผืนป่า ด้วยการช่วยกันอนุรักษ์นกสายพันธุ์นี้กัน ก่อนที่พวกมันจะหายไปตลอดกาล

นกชนหิน ข้อมูลน่ารู้

นกชนหิน หรือที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษ Helmeted Hornbill และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinoplax vigil ถือเป็นสายพันธุ์นกโบราณที่มีความเก่าแก่มานานถึง 45 ล้านปี จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับนกเงือก ส่วนมากอาศัยอยู่ในป่าดงดิบในประเทศพม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ของไทย

นกชนหิน สัตว์ป่าสงวนของไทย

นกชนหิน

นกชนหิน ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้กระจายอยู่ใน 3 พื้นที่อนุรักษ์ ได้แก่

อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี 
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา 
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง 

ในปัจจุบันจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย และจัดอยู่ในเกณฑ์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered หรือ CR) เนื่องจากถูกคุกคามจากการล่า เพื่อนำไปทำของใช้และเครื่องประดับเช่นเดียวกับนกเงือกสายพันธุ์อื่น ๆ ในไทย ในปัจจุบันมีการคาดการณ์กันว่ามีจำนวนของนกชนหินหลงเหลืออยู่ในป่าตามธรรมชาติไม่เกิน 100 ตัว

ซึ่งแท้จริงแล้วควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้ เพราะถือเป็นสายพันธุ์นกที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก เพราะช่วยกระจายพันธุ์ไม้ในป่าได้มากมาย อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนั้นอีกด้วย

ลักษณะนกชนหิน

อย่างที่ได้กล่าวไปว่า นกชนหิน จัดอยู่ในตระกูลนกเงือก และเป็น 1 ใน 13 สายพันธุ์นกเงือกไทย โดยนกชนหินมีจุดเด่นที่แตกต่างจากนกเงือกสายพันธุ์อื่น ๆ คือ ตรงโหนกที่มีความแข็งและตันคล้ายงาช้างสีแดง หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “งาช้างสีเลือด”

ลักษณะนกชนหิน มีขนาดประมาณ 120 เซนติเมตร ลำตัวมีขนสีน้ำตาลเข้ม ใต้ทองสีขาวนวล ขอบปีกขาว ส่วนหางเป็นขนสีขาวคาดแถบดำ มี 2 เส้น ความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร วิธีจำแนกเพศนกชนหิน สามารถสังเกตได้จากหนังบริเวณคอของตัวผู้จะมีสีแดงถึงสีแดงคล้ำ ส่วนตัวเมียจะมีสีม่วง ฟ้าอ่อน หรือน้ำเงิน ขึ้นอยู่กับช่วงวัย

นอกจากนี้ยังมีเสียงร้องตุ๊ก ๆ ดังเป็นจังหวะ และร้องกระชั้นขึ้นตามลำดับ และจะมีเสียงคล้ายเสียงหัวเราะดังประมาณ 4-5 ครั้ง เมื่อกำลังจะร้องสุดเสียง และจะแผดเสียงคล้ายแตรเมื่อตกใจ เมื่อมีการต่อสู้ นกจะเอาโหนกชนกันจนเกิดเสียงกระทบ และกลายเป็นที่มาของชื่อ “นกชนหิน” นั่นเอง

อาหารและการผสมพันธุ์

นกชนหิน

อาหารหลักของนกชนหินคือ ลูกไทร นอกจากนี้ก็ยังมีแมลงและสัตว์ขนาดเล็ก อาทิ กระรอก กิ้งก่า และนก

อีกทั้งนกชนหินจะมีการผสมพันธุ์เพียงปีละครั้ง และสามารถเลี้ยงลูกได้ครั้งละ 1 ตัว โดยพ่อนกจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายหาอาหารมาให้แม่นกกับลูกนกที่รังนั่นเอง

เนื่องจาก นกชนหิน มีจำนวนน้อยและอัตราการขยายพันธุ์ต่ำ ดังนั้นจึงเป็นสัตว์ป่าสงวนที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของผืนป่าแล้ว ยังช่วยกระจายพันธุ์ไม้อีกด้วย ก่อนที่นกชนิดนี้จะสูญพันธุ์ไปจากป่าไม้ไทยตลอดกาล

ขอบคุณข้อมูลจาก paro6.dnp.go.th, chm-thai.onep.go.th, hornbill.or.th, home.maefahluang.org และ seub.or.th

วิธีเลี้ยงกระรอก พร้อมเคล็ดลับฝึกเจ้าตัวเล็กให้เชื่อง

กระรอกเลี้ยงยากไหม ? ตามไปดูเรื่องน่ารู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับกระรอก ทั้งนิสัย การให้อาหาร และวิธีเลี้ยงกระรอก ก่อนเอามาเลี้ยงที่บ้าน

กระรอก

กระรอก เป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่หลายคนนิยมนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะตัวเล็ก น่ารัก และน่าจะเลี้ยงง่าย แต่ทั้งนี้ในการเลี้ยงกระรอกนั้นก็มีรายละเอียดที่จะต้องดูแลใส่ใจ ดังนั้นมาดูข้อมูลวิธีเลี้ยงกระรอกก่อนตัดสินใจนำมาเลี้ยงกัน

ลักษณะกระรอก

กระรอก (Squirrel) เป็นสัตว์ฟันแทะ เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็กและมีความปราดเปรียวว่องไวสูง มีขนสีน้ำตาลเข้มปุยปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย ยกเว้นใต้ท้องจะมีขนสีขาวครีม นัยน์ตากลมดำ และมีหางเป็นพวงฟู มีนิ้วเท้าหลังข้างละ 5 นิ้ว แต่มีนิ้วเท้าหน้าเพียงข้างละ 4 นิ้ว ไว้สำหรับจับอาหารมากัดแทะ อายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 ปี แต่บางตัวก็อาจอยู่ได้ถึง 15-20 ปี

ประเภทกระรอก

กระรอกต้นไม้ เป็นกระรอกประเภทที่พบเห็นได้มากที่สุด มักจะชอบปีนป่ายอยู่บนต้นไม้และกิ่งไม้
กระรอกดิน กระรอกประเภทนี้มักจะอาศัยอยู่ในป่า ขุดดินเพื่อใช้ในการจำศีลช่วงฤดูหนาว
กระรอกบิน จะมีพังผืดระหว่างขาแต่ละข้างที่สามารถกางออกเพื่อร่อนข้ามไปยังต้นไม้แต่ละต้นได้

ทั้งนี้ หากใครจะเลี้ยงกระรอกควรศึกษาข้อมูลทั้งายพันธุ์และวิธีเลี้ยงให้ละเอียดหรือขออนุญาตก่อนเลี้ยง เนื่องจากมีกระรอกบางสายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่มเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง เช่น กระรอกขาว กระรอกบินแก้มสีแดง กระรอกบินแก้มสีเทา ฯลฯ หากฝ่าฝืนอาจมีผลทางกฎหมายได้

อาหารกระรอก

กระรอก

ตามธรรมชาติแล้วอาหารหลักของกระรอกคือผลไม้และเมล็ดพืช ไม่ว่าจะเป็นลูกสน เมล็ดพันธุ์ เห็ด ผลเบอร์รี่ โอ๊ก วอลนัท พีแคน และดอกไม้ต่าง ๆ แต่กระรอกก็ยังชอบกินแมลงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ กระรอกขนาดใหญ่อย่างพญากระรอกก็อาจกินไข่นกเป็นอาหารในบางครั้งอีกด้วย

สำหรับกระรอกเลี้ยงนั้น ในวัยแรกเกิดถึง 2 เดือน ควรเน้นให้นมเป็นหลัก หรือถ้าเป็นนมแพะจะเหมาะสมที่สุด และเมื่ออายุได้ประมาณ 40 วัน ควรเริ่มบังคับให้กระรอกกินกล้วยก่อนกินนม จากนั้นเมื่ออายุได้ประมาณ 2 เดือน ฟันจะเริ่มขึ้น ควรเริ่มให้เมล็ดทานตะวัน เพื่อเป็นการลับฟันไปในตัว แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่น เช่น ฝรั่ง เมล็ดข้าวโพด ทั้งนี้ ควรเลี้ยงพืชตระกูลสีแตงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น แตงโม แตงกวา ฯลฯ เนื่องจากจะทำให้กระรอกท้องเสียได้ 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากระรอกจะสามารถกินอาหารมนุษย์อย่างขนมและอาหารแปรรูปต่าง ๆ ได้ แต่มันก็ไม่ค่อยเป็นผลดีต่อสุขภาพของกระรอกเท่าไรนัก เพราะหากให้กินมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนและปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้นั่นเอง

วิธีเตรียมตัวก่อนนำกระรอกมาเลี้ยงในบ้าน

เนื่องจากกระรอกยังมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ชอบเล่น ปีนป่ย และหลบซ่อน ดังนั้นก่อนจะนำกระรอกมาเลี้ยงในบ้าน มีสิ่งที่ควรรู้และเตรียมตัวไว้ก่อนดังนี้

เก็บสิ่งของมีค่าและของที่สามารถตกแตกได้ให้มิดชิด
ปิดช่องและรูต่าง ๆ รวมทั้งเก็บสิ่งของที่กระรอกอาจเข้าไปหลบซ่อนในนั้นได้
เก็บสารเคมีหรือสิ่งของอันตรายให้มิดชิด รวมทั้งขนมแปรรูปที่ไม่ควรให้กระรอกกิน
แยกกระรอกจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ ในบ้าน จนกว่ากระรอกจะคุ้นเคยกับบ้านเสียก่อน
คอยสอดส่องดูแลขณะที่กระรอกอยู่รวมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ไม่ปล่อยพวกมันอยู่กันตามลำพัง

วิธีเลี้ยงกระรอก

กระรอก

ใครที่อยากเริ่มเลี้ยงกระรอก แนะนำให้ทำความเข้าใจวิธีเลี้ยงกระรอกกันก่อน ว่าควรดูแลอย่างไรบ้าง ดังนี้

1. ให้อาหารที่เหมาะสม

ในการให้อาหารกระรอกนั้น ควรให้จำพวกเมล็ดพืชหรือแมลงตามที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ควรให้กินอาหารมนุษย์หรืออะไรก็ได้ เพราะไม่ดีกับสุขภาพของกระรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระรอกวัยแรกเกิด ถ้าหากให้อาหารที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กระรอกถึงกับป่วยและเสียชีวิตได้เลย

2. ให้น้ำที่เพียงพอ

นำถ้วยหรือชามใส่น้ำเปล่าวางไว้ในกรงหรือที่อยู่ของกระรอกไว้เสมอ เพื่อให้กระรอกได้รับน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้ควรใช้เป็นถ้วยแก้วหรือถ้วยกระเบื้องใส่น้ำ เพราะถ้าเป็นถ้วยพลาสติก กระรอกอาจจะกัดแทะได้ นอกจากนี้ถ้ากระรอกยังเป็นวัยแรกเกิด ไม่ควรใช้ถ้วยใบใหญ่หรือใส่น้ำมากเกินไป เพราะกระรอกอาจตกลงไปในน้ำและจมน้ำเสียชีวิตได้

3. หากกระรอกมีแผลหรือบาดเจ็บ

หากจับกระรอกจากข้างนอกหรือในป่ามาเลี้ยง แนะนำให้ตรวจเช็กร่างกายของกระรอกก่อนว่ามีรอยแผลหรือการบาดเจ็บใด ๆ ไหม ถ้าหากมีแผลเพียงเล็กน้อย ให้เช็ดทำความสะอาดเบา ๆ ด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น แต่ถ้าหากกระรอกบาดเจ็บหรือมีแผลใหญ่เลือดออกมาก แนะนำให้พาส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด

4. กระรอกจำเป็นต้องออกกำลังกาย

เนื่องจากร่างกายของกระรอกนั้นจำเป็นต้องมีการออกกำลังกายบ้าง จึงควรมีของเล่นที่ให้กระรอกได้ปีนป่ายหรือวิ่งเล่นได้ภายในกรง หรืออาจจะปล่อยให้วิ่งเล่นในห้องสักพักก็ได้ แต่จะต้องปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเพื่อไม่ให้กระรอกหนีออกไปข้างนอก และเก็บของมีค่าหรือของที่สามารถตกแตกได้ให้มิดชิดก่อนด้วย

วิธีฝึกกระรอกให้เชื่อง

กระรอก

ถึงแม้ว่ากระรอกจะเป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วว่องไวและฉลาด แต่พวกมันก็เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ยากเช่นกัน โดยสิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ การใช้เวลากับกระรอกในแต่ละวัน เมื่อมันทำสิ่งที่ดีก็กล่าวชมเชยหรือให้รางวัล แต่มันมักจะไม่เรียนรู้เมื่อเราดุหรือว่ากล่าวตักเตือน เพราะการกระทำที่ไม่พึงประสงค์ของพวกมันส่วนใหญ่เป็นสัญชาติญาณที่ไม่สามารถแก้ไขได้ อย่างเช่นกันเล่นซนหรือทำสิ่งของเสียหาย เป็นต้น

นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ควรฝึกกระรอกก็คือ การฝึกขับถ่าย โดยสำหรับกระรอกวัยแรกเกิด ให้ใช้สำลีเปียกถูนวดบริเวณก้นเป็นวงกลมวันละหลาย ๆ ครั้ง เมื่อกระรอกมีอายุได้ 5-6 สัปดาห์ มันจะสามารถขับถ่ายเองได้สะดวกขึ้น หลังจากนั้นก็ฝึกให้มันขับถ่ายในกระบะทราย โดยให้นำอุจจาระของมันไปวางไว้ในกระบะ เพื่อให้มันได้กลิ่นและเข้าใจว่ากระบะทรายคือที่ขับถ่ายสำหรับมัน

สำหรับคนที่กำลังคิดจะเลี้ยงกระรอก ก็ลองนำข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณาดูนะคะ ว่าเหมาะกับเราหรือไม่จะได้ไม่เกิดปัญหาในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก : scimath.org, verdantplanet.org, pets.webmd.com และ wikihow.com

ไม่มีใครยอมใคร กระต่าย 2 ตัว กระโดดต่อสู้กลางอากาศ ก่อนลงเอยแบบนี้…

       ศึกมวยกระต่าย ที่ทั้งคู่สู้กันกลางอากาศ ในชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร ก่อนลงเอยแบบที่ใครคาดไม่ถึง

           ทวิตเตอร์ @utajima ซึ่งเป็นช่างภาพชาวญี่ปุ่น ที่ชอบถ่ายภาพกระต่ายบนเกาะ Okunoshima โดยปกติเราจะได้เห็นมุมน่ารักของกระต่ายที่ช่างภาพถ่ายทอดมาให้ แต่ไม่ใช่สำหรับกระต่ายคู่นี้ ช่างภาพได้ถ่ายชอตที่ทั้งคู่กำลังกระโดดต่อสู้กันกลางอากาศ ต่างคนต่างสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายลงเอยด้วยการที่ทั้งคู่นอนกอดกัน ราวกับไม่มีเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

กระต่าย

กระต่าย

กระต่าย

กระต่าย

กระต่าย

ภาพจากทวิตเตอร์ @utajima

10 สายพันธุ์กระต่ายน่ารักน่าเลี้ยง ที่ใคร ๆ เห็นแล้วต้องเลิฟเลย !

ทำความรู้จักกับ 10 สายพันธุ์กระต่ายยอดนิยม สำหรับผู้ที่สนใจอยากเลี้ยงกระต่าย มีพันธุ์ไหนน่ารักน่าเลิฟบ้าง เรามีมาแนะนำให้แล้ว

หากพูดถึงสัตว์เลี้ยงที่คนชอบนำมาเลี้ยงกันในบ้านแล้ว นอกจากสุนัขและแมว กระต่ายก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมไม่น้อย ด้วยความน่ารักของมัน ไม่ว่าจะเป็นขนอันนุ่มนิ่มและตากลมแบ๊ว ๆ แถมยังเลี้ยงไม่ยาก ไม่ส่งเสียงดังรบกวนอีกด้วย แต่เนื่องจากกระต่ายนั้นมีอยู่หลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็มีลักษณะและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจึงนำ 10 สายพันธุ์กระต่ายสุดน่ารักมาแนะนำให้ผู้ที่สนใจอยากเลี้ยงกระต่ายได้ลองพิจารณาเลือกกัน

วิธีเลือกสายพันธุ์กระต่ายมาเลี้ยง

ก่อนซื้อกระต่ายมาเลี้ยง ไม่ควรดูตามความชอบเพียงอย่างเดียว เพราะแม้ภายนอกของกระต่ายจะดูคล้ายกันทุกสายพันธุ์ แต่ก็มีข้อแตกต่างกันในรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ขนาด ลักษณะขน ซึ่งต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน สายพันธุ์กระต่ายที่เหมาะกับการเลี้ยงในบ้าน ควรเลือกกระต่ายขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ดูแลง่าย เป็นต้น 

สายพันธุ์กระต่ายยอดนิยม

1. ฮอลแลนด์ลอป

กระต่ายฮอลแลนด์ลอป (Holland Lop)

ฮอลแลนด์ลอป (Holland Lop) ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนามาจากเฟรนช์ลอป (French Lop) โดยจะมีขนาดตัวที่เล็กกว่า มาพร้อมหูปรกข้างศีรษะ สีขนมีมากกว่า 30 สีเลยทีเดียว แถมยังเป็นกระต่ายที่เป็นมิตร น่ารัก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกระต่ายพันธุ์ที่คนนิยมเลี้ยงมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ 

2. เนเธอร์แลนด์ดวอฟ

กระต่ายเนเธอร์แลนด์ดวอฟ (Netherland Dwarf)

เนเธอร์แลนด์ดวอฟ (Netherland Dwarf) หนึ่งในกระต่ายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด มักมีน้ำหนักตัวประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น พวกมันมีหูที่สั้นและตั้งตรง ขนหลากหลายสี ถึงแม้ว่าจะตัวเล็กนิดเดียว แต่ก็มีพลังงานที่ล้นเหลือ ชอบใช้เวลาไปกับการวิ่งเล่นออกกำลังกาย ซึ่งหากมันออกกำลังกายไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอารมณ์เกรี้ยวกราด จึงควรเลี้ยงแบบปล่อยดีกว่าการขังไว้ในกรง เป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับครอบครัว แต่ไม่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก 

3. มินิเร็กซ์

กระต่ายมินิเร็กซ์ (Mini Rex)

มินิเร็กซ์ (Mini Rex) ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์เร็กซ์ (Rex) มีจุดเด่นที่ขนสั้นละเอียด เวลาสัมผัสจะรู้สึกคล้ายกับผ้ากำมะหยี่ แถมยังเลี้ยงง่าย ไม่ต้องดูแลมาก อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างเชื่อง ชอบออกกำลังกาย เป็นมิตรและเข้ากับคนในครอบครัวได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ 

4. มินิลอป

กระต่ายมินิลอป (Mini Lop)

มินิลอป (Mini Lop) เป็นกระต่ายที่เกิดจากการผสมกันระหว่างหลายสายพันธุ์ มีตัวขนาดเล็กแต่ใหญ่กว่าสายพันธุ์ฮอลแลนด์ลอป มีนิสัยเชื่อง เลี้ยงง่าย ชอบอยู่กับครอบครัว และต้องการการดูแลเอาใจใส่ค่อนข้างมาก ถ้าหากถูกปล่อยให้เหงาเมื่อไรมันมักจะกัดหรือเตะเจ้าของเพื่อเรียกร้องความสนใจ

5. ดัตช์

กระต่ายดัตช์ (Dutch)

ดัตช์ (Dutch) มีจุดเด่นที่สังเกตได้ง่ายและแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นเลยก็คือ ขนสีขาว-ดำ หูตั้งตรง ลำตัวขนาดเล็ก และมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ ราว ๆ ปี ค.ศ. 1830 พร้อมทั้งมีการพัฒนาให้เป็นสายพันธุ์กระต่ายที่เชื่อง เป็นมิตร เข้ากับคนได้ง่าย และดูแลง่าย เหมาะกับการนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงในครอบครัวอีกด้วย 

6. แคลิฟอร์เนียน

กระต่ายแคลิฟอร์เนียน (Californian)

แคลิฟอร์เนียน (Californian) เป็นพันธุ์ขนาดใหญ่ที่มักจะเห็นได้บ่อยในการแสดงโชว์ต่าง ๆ มีจุดเด่นคือ ตัวจะเป็นสีขาว มาพร้อมแต้มสีดำ 4 จุด คือ หู จมูก หาง และเท้าที่เป็นสีดำหรือสีอื่น ๆ จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์กระต่ายที่เชื่องและเหมาะนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงไม่น้อยเลยทีเดียว

7. ไลอ้อนเฮด

กระต่ายไลออนเฮด (Lionhead)

ไลอ้อนเฮด (Lionhead) กระต่ายพันธุ์เล็กที่มาพร้อมแผงคอฟู ๆ คล้ายกับสิงโต ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสายพันธุ์นั่นเอง มีนิสัยเป็นมิตรกับเด็ก ๆ แต่ค่อนข้างจะขี้เบื่อง่าย พวกมันชอบที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการออกกำลังกายหรือการเล่น แถมบางครั้งยังชอบเดินมาคลอเคลียกับเจ้าของด้วย 

8. เฟรนช์ลอป

กระต่ายเฟรนช์ ลอป (French Lop)

เฟรนช์ลอป (French Lop) กระต่ายพันธุ์ขนาดกลาง-ใหญ่ มีความน่ารักและฉลาด ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา มีน้ำหนักตัวสูงสุดมากกว่า 6 กิโลกรัม พวกมันมีหูที่ยาวและลู่ลง แก้มป่อง หน้าผากกว้าง มีขนที่นุ่มและหนาที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ไม่ค่อยเหมาะกับการเลี้ยงในครอบครัวที่มีเด็กเล็กสักเท่าไรนัก เพราะมันมักชอบใช้เวลาอยู่กับเจ้าของที่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมากกว่า

9. เฟลมมิชไจแอนท์

กระต่ายเฟลมมิชไจแอนท์ (Flemish Giant)

เฟลมมิชไจแอนท์ (Flemish Giant) หนึ่งในกระต่ายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีอายุขัยที่ยาวนาน โดยพวกมันมีน้ำหนักสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 7 กิโลกรัม เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่คนนิยมเลี้ยงเนื่องจากนิสัยที่เป็นมิตรกับทุก ๆ คน แต่ในขณะเดียวก็เป็นกระต่ายที่ชอบอยู่เฉย ๆ ดังนั้นเจ้าของจึงควรฝึกให้พวกมันออกกำลังกายบ่อย ๆ 

10. ฮาร์เลคควิน

กระต่ายฮาเล็คควีน (Harlequin)

ฮาร์เลคควิน (Harlequin) เป็นกระต่ายพันธุ์ขนาดกลาง-ใหญ่ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส ลักษณะขนและลวดลายสีสันบนตัวถือเป็นจุดเด่นของสายพันธุ์นี้ หูทั้งสองข้างจะหันออกจากกัน สีของส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหู ใบหน้า และเท้า มักจะแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่แล้วจะประกอบไปด้วยสีดำและสีส้ม พวกมันมีนิสัยที่ค่อนข้างสุขุมเรียบร้อย แต่ในบางครั้งก็อาจซุกซนและขี้เล่นได้เหมือนกัน

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับกระต่ายน่ารัก ๆ ทั้ง 10 สายพันธุ์กันไปแล้ว ใครที่รู้สึกถูกชะตากับพันธุ์ไหนเป็นพิเศษก็หามาเลี้ยงกันได้เลย แต่ก็อย่าลืมศึกษาวิธีการเลี้ยงและการดูแลที่ถูกต้องก่อนด้วยล่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : wagwalking.com, animalcorner.org และ pethelpful.com